วรรณกรรมดีเด่น ที่จะเปลี่ยนโลกของความเกลียดชัง
ในโลกของเราปัจจุบันได้มีความเกลียดชังหมุนวนอยู่ตลอดเวลา และเมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้นความเกลียดชังก็ยังคงอยู่ไม่ได้ลดลงเลย เราจะเห็นได้จากตามแหล่งข่าวต่าง ๆ ว่า คนขาว-คนดำทำร้ายกัน, ชาวยุโรปเกลียดเอเชีย, เอเชียเหยียดเอเชียอีกทีหนึ่ง ต่าง ๆ นา ๆ ถึงจะไม่สามารถใช้คำว่า not all ได้ แต่ก็สามารถพูดได้ว่าเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด มีข่าวแนวนี้ออกอยู่เป็นประจำ มันก็จะเป็นเรื่องที่ดีถ้าเราสามารถหยุดความเกลียดชังเหล่านี้ได้
แต่ความจริงแล้วเราต่างรู่ดีว่าความเกลียดชังเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย เราไม่สามารถที่หยุดใครได้เลย มีแต่เพียงคำว่า ‘ความเข้าใจ’ เท่านั้นที่จะให้ทำเราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เข้าใจถึงความแตกต่าง และมันคงจะดีถ้ามีสิ่งที่ทำให้เราสามารถเข้าใจถึงความแตกต่างของกันและกันได้ และลดความเกลียดชังให้น้อยลง
ในวันนี้จึงมีรายชื่อหนังสือ 10 เล่มที่ผลักดันให้โลกใบนี้ก้าวไปสู่ความคิดที่อิสระเสรีมากขึ้น เข้าใจถึงความแตกต่างซึ่งกันและกัน ช่วยนำพาสังคมให้ก้าวไปในทางที่ดีกว่าเดิม ซึ่งรวยรวมมาจากทุกมุมโลกและสรึปให้เหลือเพียงแค่ 10 เล่มนี้ ซึ่งแต่ละเล่มนั้นเป็นวรรณกรรมที่จะพาทุกคนไปสู่พรมแดนของความหลากหลาย ทั้งเชื้อชาติ เพศ ความไม่สมบูรณ์ สุขภาพ ฯลฯ ซึ่งอย่างน้อยหนังสือดี ๆ 10 เล่มนี้จะทำให้เราเข้าใจคนอื่นได้มากกว่าเดิม
สุดยอด 10 วรรณกรรม
1 TWO BOYS KISSING (เดวิด เลวิธาน)
งานเขียนส่วนใหญ่เล่าเรื่องของตัวละครเกย์ชาย ให้ถึงความแตกต่างของในเรื่องเพศ ว่าความรักไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงชาย-หญิง แต่สามารถเป็นชาย-ชาย หรือหญิง-หญิง ได้ ซึ่งก็จะเขียนสื่ออกมาให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เข้าใจกันและกันมากขึ้น
2 Nevada (อิโมเกน บินนี่)
นักเขียนที่สนใจเรื่องคนข้ามเพศโดยงานเขียนชิ้นนี้ได้รับการรวบรวมไว้ The Collection: Short Fiction from the Transgender Vanguard ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศ เปิดมุมมองอื่น ๆ ไปอีกหลายมุมมอง
3 The Reason I Jump: One Boy’s Voice from the Silence of Autism (นาโอกิ ฮิกะชิดะ)
กวี นักเขียนนวนิยาย และนักเขียนบทความชาวญี่ปุ่น เขาได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการออทิสติกตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ด้วยอาการดังกล่าวทำให้มีคนเข้าใจในตัวเขสน้อยมสก ในสิ่งที่เขาหรือในสิ่งที่เขาสื่อ ซึ่งในตอนนั้นคนรอบตัวเขาไม่ได้มีใครเข้าเด็กออทิสติกขนาดนั้น แต่ในต่อมาฮิกะชิดะสามารถเรียนอักษรภาษาญี่ปุ่นได้อย่างรวดเร็วและเริ่มเขียนโดยมีคนคอยช่วยควบคุมมือได้ แม่ของฮิกะชิดะเป็นคนที่มองเห็นว่าลูกชายของเธอมีความสามารถในการเขียนแสดงความรู้สึก และส่งเสริมให้แต่งกวีนิพนธ์และเรื่องสั้น ทำให้เขาประสบความสำเร็จ และเขียนเรื่องราวถ่ายทอดออกมาเป็นจำนวนหลายเล่มแล้ว ผู้ที่อ่านก็จะได้ทำความเข้าใจกับเด็กกลุ่มนี้มาขึ้นด้วยว่าเขาไม่ได้แปลกและเขาก็มีความรู้สึกเหมือนคนอื่น ๆ เช่นกัน
4 The Story of My Life (เฮเลน เคลเลอร์)
ได้เล่าเรื่องราวที่ให้แรงบันดาลใจต่อใครหลาย ๆ คน ด้วยความที่ร่างกายของเธอนั้นพิการแต่ว่าเธอก็ไม่เคยยอมแพ้ต่ออะไรเลย เฮเลนที่แม้จะทั้งตาบอดและหูหนวกแต่สุดท้ายเธอก็สามารถที่จะเรียนรู้ในการสื่อสารจนกระทั่งจบการศึกษาเกียรตินิยมอันดับ 1 จากวิทยาลัยแรดคลิป มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เธอได้กลายเป็นนักปาฐกถาและนักเขียนที่สร้างแรงบันดาลใจไปทั่วโลก
5 I AM MALALA (มาลาลา ยูซาฟไซ)
เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิทางการศึกษาของผู้หญิง พลังของเธอก่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อเสียงของคนเล็ก ๆ ที่สามารถเปลี่ยนโลกใบนี้ได้
6 Orlando: A Biography (เวอร์จิเนียร์ วูล์ฟ)
เธอเป็นทั้งนักเขียนนวนิยาย เรื่องสั้น บทความ และเป็นผู้สนับสนุนสิทธิสตรี โดยงานเขียนส่วนใหญ่จะปกป้องสิมธิมนุษยชน ความเท่าเทียมกันของชายหญิง งานเขียนของวูล์ฟมีความโดดเด่นในการใช้เทคนิคกระแสสำนึก
7 Elizabeth is Missing (เอ็มม่า ฮีลลี่)
เรื่องนี้ได้รับรางวัล Costa Book Award โดยเธอศึกษาระดับปริญญาตรีทางศิลปะและการช่างจาก London College of Communication และจบการศึกษาในระดับปริญญาโทในสาขาการเขียนเชิงสร้างสรรค์
8 The Bell Jar (ซิลเวีย แพลท)
เกี่ยวกับประเภทคำสารภาพ (confessional poetry) หรือบทกวีที่พูดถึงอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวที่รุนแรง เช่น บาดแผล จิตใจ หรือประสบการณ์ต่าง ๆ เธอเป็นหนึ่งในนักเขียนอเมริกันร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงเลยทีเดียว
9 If This Is a Man (พรีโม เลวี)
เลวีเป็นนักเขียนที่มีผลงานหลากหลายทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น บทความ และเป็นผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวเชื้อสายอิตาเลียน
10 Ain’t I a Woman?: Black women and feminism (เบล ฮุคส์)
ฮุคส์มีผลงานหนังสือกว่าสามสิบเล่มและบทความอีกมากมาย มุมมองทางวิชาการของเธอได้รับอิทธิพลจากกระแสหลังสมัยใหม่ และเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี เน้นเรื่องความเชื่อมโยงกันระหว่างชาติพันธุ์ ทุนนิยม และเพศสภาพ โดยเธอมองว่าทั้งหมดคือ ระบบที่สามารถสร้างการกดขี่และการครอบงำทางชนชั้นที่ไม่รู้จบ
ต้องมีสักเล่ม
เป็นอย่างไรกันบ้างกับวรรณกรรมดีเด่น 10 เรื่องที่ได้เล่าถึงความแตกต่างของคนทั่วไป และได้ให้เข้าใจกันและกันมากขึ้น ซึ่งแต่ละเล่มนั้นถือว่าดีงาม ควรค่าแก่การซื้อมาอ่านอย่างน้อยกันสักเล่ม จะซื้อไปฝากเพื่อน ฝากพ่อแม่ก็ย่อมได้ รับรองว่าอ่านแล้วจะได้เปิดมุมดี ๆ ไปอีกหนึ่งที่เราอาจคาดไม่ถึง